วันนี้ตื่นแต่เช้าไปเรียน รด โคตรง่วงเลย เรียนน่าเบื่อมากเรียนในห้อง หลับกันทั้งห้องเลย 5555
โดนตัดผมด้วย หัวตอนนี้โคตรเกรียน วันนี้เขียนวันสุดท้าย แล้ว เย้ ดีใจ 555
บทความเกร็ดความรู้
วันจันทร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2555
วันอาทิตย์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2555
Diary 15/9/12
ตื่นแต่เช้าเลย ยายใช้ไปวัด ทำนู้นทำนี่โคตรน่าเบื่อเลย วันนี้รวมญาติด้วย ดูบอลอย่างเซ็งได้แค่เสมอ 1-1
วันเสาร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2555
Diary 14.09.12
Diary 14.09.12
เขียนย้อนหลังนิสนึง ^^
ตื่นมาไปรรโคตรสายเลย ตื่นมาก็ง่วงมาก ไปรรแทบหลับ เรียนวันนี้น่าเบื่อมาก ตอนเย็นฝนก็ตกโคตรเกลียดฝนเลยตกอะไรนักหนา ยฟดับเลย ฝนบ้าตกเพื่อ เปียกหมด หมดวันแล้วเจอกันพน
เขียนย้อนหลังนิสนึง ^^
ตื่นมาไปรรโคตรสายเลย ตื่นมาก็ง่วงมาก ไปรรแทบหลับ เรียนวันนี้น่าเบื่อมาก ตอนเย็นฝนก็ตกโคตรเกลียดฝนเลยตกอะไรนักหนา ยฟดับเลย ฝนบ้าตกเพื่อ เปียกหมด หมดวันแล้วเจอกันพน
วันอังคารที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2555
India Looks to Solar Electricity to Power Remote Villages
India Looks to Solar Electricity to Power Remote Villages
India Looks to Solar Electricity to
PowerRemote Villages

Meerwada has long hewed to the sun’s schedule. The village of 400 in central India’s Madhya Pradesh state lies 43 miles from the nearest town, and until last year it was not supplied with power. Daily chores were completed between sunrise and sunset, or else by the light of polluting kerosene lamps. “Our village has never had electricity,” says Daulat Ram, Meerwada’s village head. “We struggled without it.”
Now Meerwada doesn’t just live by the sun, it harnesses it. SunEdison, a California-based solar power services company, selected Meerwada as the first village in its “Eradication of Darkness” program, which aims to light up 150 villages throughout India, Southeast Asia, Africa, and Latin America. The electricity is not free — households pay around $1 to $1.50 per month for the electricity — an amount equivalent to what they were paying for kerosene. But the pilot project has made Meerwada a forerunner in India: a remote village with round-the-clock power. “Connect 50 houses, run a small solar plant and let people use energy as they deem fit,” says Pasupathy Gopalan, managing director of SunEdison’s South Asia and Sub-Saharan Africa operations. “In Meerwada, we started by giving them only one light, now nine months later they have 24/7 electricity.”
With the cost of solar photovoltaic cells falling — prices dropped by 50% last year and are now a quarter of what they were in 2008 — renewable energy advocates say India is ripe for a solar power revolution. And it could use it. More than 40% of the countryside is still not connected to the national power grid, and a 2010 report by the National Renewable Energy Laboratory in the U.S. said that power demand in India trails supply by 12.7%. Closing this gap “will be critical for India to achieve its growth targets,” the report had said. Failure to meet that unsatisfied demand could hamper India’s growth, the World Economic Forum said in a recent report. If India is to target a growth trajectory of 9% a year, it will have to increase energy production by 6.5% every year, the WEF said. Supporters hope solar energy can help address this power gap while allowing India to stick to its goal of cutting carbon emissions 20-25% by 2020.
With around 300 sunny days a year nationwide, solar energy’s potential in India is immense. And with $10.2 billion investments in clean energy, money is starting to follow the opportunity. India received $95 million in venture capital funding and over $1.1 billion in large-scale funding for solar projects in 2011, according to a report by Mercom Capital, a clean-energy consulting firm. The biggest funding deal was a $694 million loan raised by Maharashtra State Power Generation Co. for its 150 MW Dhule and 125 MW Sakri solar projects. “The needs of rural India will not be should not be and cannot be met by the national grid,” says Bhoo Thirumalai, CEO of Aspiration Energy, an emerging solar company. “Solar is the most practical solution for rural India.”
Solar power’s backers say that India needs to embrace a decentralized model of power generation to fully realize the benefits of tapping the sun. “There is a new era of possibilities beginning now with solar. All that is needed is for policy makers to believe in local generation and delivery rather than a centralized model,” says Gopalan. The Barefoot College, a nonprofit organization based in the western state of Rajasthan, has been quietly experimenting with local generation and decentralized mode of solar electrification since 1989. It trains rural, uneducated women to become solar engineers and solar electrify remote villages. Its graduates have brought power to more than 13,000 homes across India. “We need low cost, community based solutions. Let poor people manage, control and own their own resource,” says Bunker Roy, Barefoot College’s founder and director. “Involve the communities in all decision-making processes and then only they will look after it and take responsibility. We don’t need business models. We need partnership models.”
India’s government has begun to acknowledge the importance of solar energy to the country’s economic growth. Prime Minister Manmohan Singh, who has said that solar energy will transform rural India, launched a National Solar Mission in 2010. Initial growth has been dramatic, albeit from a tiny base. From less than 12 MW in 2009, solar power generation in the country grew to 190 MW in 2011. By March 2013, it is expected to grow fivefold to 1,000 MW, but the country has a long way to go to reach its goal of increasing solar power generation to 20 GW by 2020. Across India, there are still thousands of villages with plenty of sun but not enough power.
ต้อหิน
ต้อหินมีด้วยกัน 3 ชนิด
ชนิดแรก เป็นต้อหินโดยไม่ทราบสาเหตุพบมากที่สุด
ชนิดที่สอง เป็นต้อหินเนื่องจากมีโรคอื่นอยู่ก่อนแล้วเกิดแทรกซ้อน ด้วยโรคต้อหินตามหลังพบรองลงมา
ชนิดที่สาม พบน้อยที่สุดเป็นต้อหินในเด็กเป็นมาแต่กำเนิด คือเป็นโรคต้อหินตั้งแต่อยู่ในครรภ์เลยทีเดียว เกิดเนื่องจากการกำเนิดลูกตาระหว่างที่เป็นตัวอ่อนในครรภ์มีความผิดปกติ ทำให้น้ำภายในลูกตาไหลเวียนไม่สะดวก มีน้ำคั่งในลูกตาทำให้ความดันตาสูงขึ้น
ต้อหินที่สำคัญเป็นต้อหินชนิดแรกที่ไม่ทราบสาเหตุแน่ชัดว่าเหตุใดจึงเกิดกับคนๆ นั้นๆ ในขณะที่ผู้อื่นไม่เป็นกัน ต้อหินชนิดนี้เป็นโรคสำคัญที่ทำให้ประชากรของโลกตาบอด รองลงมาจากต้อกระจก ต้อหินชนิดที่ไม่ทราบสาเหตุนี้ยังแบ่งออกได้ 2 ลักษณะตามอาการแสดงที่มาพบแพทย์ เรียกกันว่า ต้อหินมุมเปิดหรือต้อหินเรื้อรัง และต้อหินมุมปิด ซึ่งมักจะเรียกกันว่าต้อหินเฉียบพลัน สำหรับต้อหินเฉียบพลันนั้นคนที่เป็นมักมีอาการอย่างกะทันหันโดยมีอาการปวดตา ปวดศีรษะ ตาแดง และตามัวอย่างฉับพลัน จึงไม่ค่อยมีปัญหาในการมาพบแพทย์นักเนื่องจากมักจะทนไม่ไหวกับอาการเจ็บปวด ส่วนต้อหินเรื้อรังค่อนข้างจะเป็นปัญหาในบ้านเรา เพราะว่าเป็นต้อหินที่ค่อยเป็นค่อยไปไม่เจ็บปวด อีกทั้งตาไม่แดงแต่สายตาจะมัวลงอย่างช้าๆ กว่าเจ้าตัวจะรู้ก็เกือบจะบอดแล้วเป็นต้อหินที่สัมพันธ์กับการใช้คอมพิวเตอร์ที่เป็นข่าวอยู่ขณะนี้
ต้อหินมุมเปิดหรือต้อหินเรื้อรัง แม้เราไม่รู้สาเหตุของการเกิดอย่างแท้จริง แต่ก็ได้พยายามศึกษาถึงลักษณะของโรค พยายามแก้ไขไม่ให้ผู้ที่เป็นต้อตาบอด สิ่งที่เราทราบก็คือต้อหินชนิดนี้มักพบในคนสูงอายุ มักพบในผู้ที่เป็นเบาหวาน ผู้ที่เป็นโรคของต่อมไทรอยด์ ผู้ที่มีประวัติในครอบครัวที่เป็นโรคนี้ ผู้ที่นอนกรนมากจนหยุดการหายใจ (sleep apnea) ความดันโลหิตสูงและผู้ที่มีสายตาสั้น จนบางคนอาจกล่าวว่ายีนส์ของการถ่ายทอดโรคทางกรรมพันธุ์ของต้อหิน เบาหวาน และสายตาสั้นคงจะอยู่ชิดกันมาก จึงพบโรคทั้ง 3 ในคนเดียวกันเสมอๆ
ต้อหินมุมเปิดหรือต้อหินเรื้อรังนี้ สัมพันธ์กับการใช้คอมพิวเตอร์จากการศึกษาของแพทย์ชาวญี่ปุ่นอย่างไร ? ตามที่กล่าวแล้วว่าต้อหินชนิดนี้พบในคนสูงอายุ การศึกษานี้ก็ตรวจเฉพาะคนสูงอายุเช่นเดียวกัน มีการศึกษาของหลายประเทศตามอุบัติการณ์ของต้อหินชนิดนี้ได้ 1-2 % ในประชากรที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป การศึกษานี้พบต้อหินได้ประมาณ 1-6% อยู่ในตัวเลขที่ใกล้เคียงกัน ชาวญี่ปุ่นมีอุบัติการณ์สายตาสั้นค่อนข้างมากจึงน่าเชื่อว่าชาวญี่ปุ่นที่นำ มาศึกษาน่าจะมีสายตาสั้น ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงอันหนึ่งของการเป็นต้อหิน
ส่วนอีกประการหนึ่งการที่สายตาสั้นแม้จะยังพิสูจน์ไม่ได้แน่ชัดว่าเกิดจากอะไร แต่เชื่อกันว่าผู้ที่ใช้สายตาเพ่งมองใกล้มาก พวกหนอนหนังสือ ผู้ที่มีไอคิวสูงมักจะมีสายตาสั้น ทั้งหมดจึงอาจเกี่ยวพันกันเป็นลูกโซ่ซึ่งเป็นสิ่งที่รู้กันมานานแล้ว การศึกษาของจักษุแพทย์ชาวญี่ปุ่นนี้จึงเน้นย้ำให้ประชาชนระวังถึงโอกาสการเป็นต้อหินซึ่งอาจจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับการใช้คอมพิวเตอร์โดยตรงที่ยังพิสูจน์ไม่ได้แน่ชัดในปัจจุบัน ภาษิตโบราณว่าถ้าจิ้งจกทักเรายังต้องระวัง ในกรณีนี้แนะนำให้ใช้คอมพิวเตอร์ในระยะที่เหมาะสมแม้จะไม่ได้ป้องกันโรคต้อหินแต่ก็ทำให้ไม่มีภาวะสายตาเมื่อยล้า ตาแห้งจากการใช้คอมพิวเตอร์มากไป
อย่างไรก็ตาม เราคงไม่ต้องตื่นกลัวการเป็นต้อหินจากการใช้คอมพิวเตอร์ตามข่าวนี้ แต่ก็ไม่ควรเพิกเฉยกับโรคนี้ ด้วยอุบัติการณ์ที่พบได้ 1-2% ในคนสูงอายุ 40 ปีขึ้นไป โดยไม่มีอาการอะไรนำมาก่อน ผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไปจึงควรได้รับการตรวจตาอย่างน้อยปีละครั้ง เพื่อที่ว่าหากพบโรคนี้ในระยะแรก การรักษาในระยะแรกจะทำให้คุณมีโอกาสสูญเสียสายตาน้อยที่สุด และยิ่งถ้าคุณมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ อีก เช่น เป็นโรคเบาหวาน มีความดันโลหิตสูง มีโรคหลอดเลือด มีภาวะสายตาสั้น มีประวัติโรคต้อหินในครอบครัว คุณควรต้องเฝ้าระวังโดยการตรวจหาภาวะต้อหินอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งเรื่องการใช้คอมพิวเตอร์คงหลีกเลี่ยงการใช้ไม่ได้ ในโลกของข้อมูลข่าวสารปัจจุบันควรใช้คอมพิวเตอร์ครั้งละ 2 ชั่วโมง พักสายตาไปทำงานอื่น 15 นาทีแล้วกลับมาทำใหม่ การจัดระบบของโต๊ะและจอคอมพิวเตอร์ที่เหมาะสมทำให้คุณสบายตา ไม่เมื่อยล้าและอาจจะชะลอมิให้คุณมีสายตาที่สั้นเพิ่มขึ้นลดปัจจัยเสี่ยงของการเป็นต้อหินก็เป็นได้

ชนิดแรก เป็นต้อหินโดยไม่ทราบสาเหตุพบมากที่สุด
ชนิดที่สอง เป็นต้อหินเนื่องจากมีโรคอื่นอยู่ก่อนแล้วเกิดแทรกซ้อน ด้วยโรคต้อหินตามหลังพบรองลงมา
ชนิดที่สาม พบน้อยที่สุดเป็นต้อหินในเด็กเป็นมาแต่กำเนิด คือเป็นโรคต้อหินตั้งแต่อยู่ในครรภ์เลยทีเดียว เกิดเนื่องจากการกำเนิดลูกตาระหว่างที่เป็นตัวอ่อนในครรภ์มีความผิดปกติ ทำให้น้ำภายในลูกตาไหลเวียนไม่สะดวก มีน้ำคั่งในลูกตาทำให้ความดันตาสูงขึ้น
ต้อหินที่สำคัญเป็นต้อหินชนิดแรกที่ไม่ทราบสาเหตุแน่ชัดว่าเหตุใดจึงเกิดกับคนๆ นั้นๆ ในขณะที่ผู้อื่นไม่เป็นกัน ต้อหินชนิดนี้เป็นโรคสำคัญที่ทำให้ประชากรของโลกตาบอด รองลงมาจากต้อกระจก ต้อหินชนิดที่ไม่ทราบสาเหตุนี้ยังแบ่งออกได้ 2 ลักษณะตามอาการแสดงที่มาพบแพทย์ เรียกกันว่า ต้อหินมุมเปิดหรือต้อหินเรื้อรัง และต้อหินมุมปิด ซึ่งมักจะเรียกกันว่าต้อหินเฉียบพลัน สำหรับต้อหินเฉียบพลันนั้นคนที่เป็นมักมีอาการอย่างกะทันหันโดยมีอาการปวดตา ปวดศีรษะ ตาแดง และตามัวอย่างฉับพลัน จึงไม่ค่อยมีปัญหาในการมาพบแพทย์นักเนื่องจากมักจะทนไม่ไหวกับอาการเจ็บปวด ส่วนต้อหินเรื้อรังค่อนข้างจะเป็นปัญหาในบ้านเรา เพราะว่าเป็นต้อหินที่ค่อยเป็นค่อยไปไม่เจ็บปวด อีกทั้งตาไม่แดงแต่สายตาจะมัวลงอย่างช้าๆ กว่าเจ้าตัวจะรู้ก็เกือบจะบอดแล้วเป็นต้อหินที่สัมพันธ์กับการใช้คอมพิวเตอร์ที่เป็นข่าวอยู่ขณะนี้
ต้อหินมุมเปิดหรือต้อหินเรื้อรัง แม้เราไม่รู้สาเหตุของการเกิดอย่างแท้จริง แต่ก็ได้พยายามศึกษาถึงลักษณะของโรค พยายามแก้ไขไม่ให้ผู้ที่เป็นต้อตาบอด สิ่งที่เราทราบก็คือต้อหินชนิดนี้มักพบในคนสูงอายุ มักพบในผู้ที่เป็นเบาหวาน ผู้ที่เป็นโรคของต่อมไทรอยด์ ผู้ที่มีประวัติในครอบครัวที่เป็นโรคนี้ ผู้ที่นอนกรนมากจนหยุดการหายใจ (sleep apnea) ความดันโลหิตสูงและผู้ที่มีสายตาสั้น จนบางคนอาจกล่าวว่ายีนส์ของการถ่ายทอดโรคทางกรรมพันธุ์ของต้อหิน เบาหวาน และสายตาสั้นคงจะอยู่ชิดกันมาก จึงพบโรคทั้ง 3 ในคนเดียวกันเสมอๆ
ต้อหินมุมเปิดหรือต้อหินเรื้อรังนี้ สัมพันธ์กับการใช้คอมพิวเตอร์จากการศึกษาของแพทย์ชาวญี่ปุ่นอย่างไร ? ตามที่กล่าวแล้วว่าต้อหินชนิดนี้พบในคนสูงอายุ การศึกษานี้ก็ตรวจเฉพาะคนสูงอายุเช่นเดียวกัน มีการศึกษาของหลายประเทศตามอุบัติการณ์ของต้อหินชนิดนี้ได้ 1-2 % ในประชากรที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป การศึกษานี้พบต้อหินได้ประมาณ 1-6% อยู่ในตัวเลขที่ใกล้เคียงกัน ชาวญี่ปุ่นมีอุบัติการณ์สายตาสั้นค่อนข้างมากจึงน่าเชื่อว่าชาวญี่ปุ่นที่นำ มาศึกษาน่าจะมีสายตาสั้น ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงอันหนึ่งของการเป็นต้อหิน
ส่วนอีกประการหนึ่งการที่สายตาสั้นแม้จะยังพิสูจน์ไม่ได้แน่ชัดว่าเกิดจากอะไร แต่เชื่อกันว่าผู้ที่ใช้สายตาเพ่งมองใกล้มาก พวกหนอนหนังสือ ผู้ที่มีไอคิวสูงมักจะมีสายตาสั้น ทั้งหมดจึงอาจเกี่ยวพันกันเป็นลูกโซ่ซึ่งเป็นสิ่งที่รู้กันมานานแล้ว การศึกษาของจักษุแพทย์ชาวญี่ปุ่นนี้จึงเน้นย้ำให้ประชาชนระวังถึงโอกาสการเป็นต้อหินซึ่งอาจจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับการใช้คอมพิวเตอร์โดยตรงที่ยังพิสูจน์ไม่ได้แน่ชัดในปัจจุบัน ภาษิตโบราณว่าถ้าจิ้งจกทักเรายังต้องระวัง ในกรณีนี้แนะนำให้ใช้คอมพิวเตอร์ในระยะที่เหมาะสมแม้จะไม่ได้ป้องกันโรคต้อหินแต่ก็ทำให้ไม่มีภาวะสายตาเมื่อยล้า ตาแห้งจากการใช้คอมพิวเตอร์มากไป
อย่างไรก็ตาม เราคงไม่ต้องตื่นกลัวการเป็นต้อหินจากการใช้คอมพิวเตอร์ตามข่าวนี้ แต่ก็ไม่ควรเพิกเฉยกับโรคนี้ ด้วยอุบัติการณ์ที่พบได้ 1-2% ในคนสูงอายุ 40 ปีขึ้นไป โดยไม่มีอาการอะไรนำมาก่อน ผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไปจึงควรได้รับการตรวจตาอย่างน้อยปีละครั้ง เพื่อที่ว่าหากพบโรคนี้ในระยะแรก การรักษาในระยะแรกจะทำให้คุณมีโอกาสสูญเสียสายตาน้อยที่สุด และยิ่งถ้าคุณมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ อีก เช่น เป็นโรคเบาหวาน มีความดันโลหิตสูง มีโรคหลอดเลือด มีภาวะสายตาสั้น มีประวัติโรคต้อหินในครอบครัว คุณควรต้องเฝ้าระวังโดยการตรวจหาภาวะต้อหินอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งเรื่องการใช้คอมพิวเตอร์คงหลีกเลี่ยงการใช้ไม่ได้ ในโลกของข้อมูลข่าวสารปัจจุบันควรใช้คอมพิวเตอร์ครั้งละ 2 ชั่วโมง พักสายตาไปทำงานอื่น 15 นาทีแล้วกลับมาทำใหม่ การจัดระบบของโต๊ะและจอคอมพิวเตอร์ที่เหมาะสมทำให้คุณสบายตา ไม่เมื่อยล้าและอาจจะชะลอมิให้คุณมีสายตาที่สั้นเพิ่มขึ้นลดปัจจัยเสี่ยงของการเป็นต้อหินก็เป็นได้
ออกกำลังกายลดเศร้า บรรเทาเครียด
ออกกำลังกายลดเศร้า บรรเทาเครียด เป็นยาขนานเอก คลายความเฉื่อย เสริมความเชื่อมั่นได้ดีเยี่ยม คนที่มีอาการซึมเศร้าเมื่อไปพบแพทย์ นอกเหนือจากการได้รับยาคลายเศร้าแล้ว ยังมักจะได้รับคำแนะนำจากแพทย์ให้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอร่วมด้วย ดร. Kristin Vickers-Douglas นักจิตวิทยาแห่งเมโยคลินิก สหรัฐอเมริกา ยืนยันว่า การออกกำลังกายช่วยในเรื่องอารมณ์ และลดอาการซึมเศร้าได้จริง แม้ว่าการออกกำลังกายจะไม่ใช่ยาวิเศษ แต่การเพิ่มการขยับกายยืดเส้นยืดสายร่างกายนั้นเป็นผลดีและช่วยให้จัดการกับอารมณ์เศร้าได้ดีขึ้น เราสอนกันมานานแล้วว่า การออกกำลังกายเป็นแนวทางหนึ่งที่จะคงไว้ซึ่งร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง ช่วยป้องกันโรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน ความอ้วนและโรคอื่นๆ อีกสารพัด และนับวัน ผลการวิจัยยิ่งชี้ชัดว่า การออกกำลังกายช่วยลดอาการทางจิตได้หลายอาการ ไม่ว่าจะเป็นความเครียดหรือซึมเศร้า ทั้งยังป้องกันการกลับเป็นซ้ำได้ด้วย การออกกำลังกายไม่ได้หมายถึงการออกแรงอย่างหนัก เหงื่อตกมากๆ การออกกำลังกายที่ให้ผลทางสุขภาพจิตนั้นแม้เพียงแค่เดินปกติสัก 10 นาทีก็ได้ผลแล้ว เพราะเราไม่ได้มุ่งหวังจะลดน้ำหนักสัก 1 -2 กิโลกรัมที่ต้องวิ่งเป็นระยะทางไกลๆ วิ่งเร็วๆ ให้เหงื่อแตกพรั่กๆ ในทางตรงกันข้าม การออกกำลังกายทางจิตวิทยานั้น หมายถึงการทำร่างกายให้แอคทีฟขึ้น เพื่อลดอารมณ์ทางด้านลบ และเพิ่มอารมณ์ด้านบวกให้มากขึ้น และยิ่งมีการวางแผนให้เหมาะสมก็จะยิ่งได้ผลมากยิ่งขึ้นด้วย แม้ว่ากลไกที่การออกกำลังกายส่งผลลดอาการเศร้า เครียด กดดัน เหนื่อยล้าจิตใจ หงุดหงิดโมโห หรือแม้แต่สิ้นหวังนั้นยังไม่มีใครทราบแน่ชัดก็จริง แต่ในทางสรีรวิทยา การออกกำลังกายช่วยเพิ่มระดับของสารเคมีในสมอง หรือสารสื่อประสาทที่ปรับอารมณ์ให้ดีขึ้น อย่างเช่น เอนดอร์ฟิน (endorphins) ช่วยคลายกล้ามเนื้อ หลับลึกขึ้น ลดฮอร์โมนความเครียด และมีผลให้จิตใจสงบขึ้น เป็นประโยชน์ในทางสุขภาพจิตเป็นอย่างสูง นอกจากนี้การออกกำลังกายยังเป็นการเพิ่มความสำเร็จและความเชื่อมั่นในตนเอง เพิ่ม ความรู้สึกว่าเราทำอะไรได้สำเร็จและเมื่อต่อเนื่องนานๆ เข้าก็จะผันเป็นเพิ่มความเชื่อมันในตนเอง ดอกเตอร์คริสติน บอกว่า ความรู้สึกเชื่อมั่น มั่นใจในการเปลี่ยนแปลงตัวเองสำเร็จเป็นพลังด้านบวกที่จะโน้มน้าวให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านบวกอื่นๆ ให้เกิดขึ้นตามมา เขายังอธิบายต่อไปว่า เวลาที่คนเราซึมเศร้า เรามักจะคิดว่า เราไม่มีแรงหรือพลังเพียงพอที่จะดูแลตัวเอง หรือรับผิดชอบอะไรต่อมิอะไร คนที่ซึมเศร้าจะขาดความเชื่อมั่นในตนเอง รู้สึกขาดประสิทธิภาพ จึงทำอะไรไม่ได้ ดังนั้นการได้ออกกำลังกายจะเป็นจุดเริ่มต้นของการกลับมาสัมผัสความสำเร็จเล็กๆ ขั้นต้นได้อีกครั้งหนึ่งอันเป็นก้าวแรกของก้าวต่อๆ ไป หันเหความสนใจไปในทางบวก เมื่อเวลาที่เราเศร้าหรือเครียด เรามักสนใจหมกมุ่นกับตัวเอง กับอาการและผลของอาการ วนเวียนอยู่อย่างนั้น สิ่งนี้จะผลาญเวลาไปกับสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ นอกจากนั้นมันยังลดประสิทธิภาพในการขบคิดแก้ปัญหา ทำให้วงจรร้ายอันนี้ดำดิ่งยิ่งขึ้น ในทางตรงกันข้าม การออกกำลังกาย ทำให้เราหันเหความสนใจออกไปเรื่องอื่น ละความคิดในแง่ลบลง โฟกัสกับสิ่งหรือคนอื่นๆ บ้าง ยิ่งไปกว่านั้น การไปออกกำลังกายจะได้พบเห็นสิ่งต่างๆ พบผู้คน หรือการเปิดเพลงไปพร้อมๆ กัน การออกกำลังกายจึงช่วยผ่อนคลายได้เป็นอย่างดี ในระหว่างการออกกำลังกายนั้น ร่างกายเรามีการเปลี่ยนแปลงของการหายใจ เหงื่อออก ชีพจรเร็วขึ้น อาการเหล่านี้คล้ายกับอาการที่เกิดเมื่อเวลาเราเครียด แต่อาการที่เกิดขณะออกกำลังกายเหล่านี้เกิดขึ้นคู่กับความรู้สึกดีๆ ทางจิตใจของการได้ออกกำลังกาย ดังนั้นโดยอัตโนมัติจิตใจของเราก็จะจับคู่อาการใจสั่น เหงื่อออก หายใจเร็วหรือขัด ไปในทางบวก ต่อต้านกับความรู้สึกเดิมๆ ทำให้เรามองหรือเห็นอาการทำนองนี้ไปในด้านบวกมากขึ้น ลดหรือเลิกกลัวกับอาการเหล่านี้ จากเดิมที่เคยคิดว่ามันเป็นความเครียด กลายเป็นเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันได้โดยไม่กลัวมันอีก การออกกำลังกายเปิดโอกาสให้เราได้สัมผัสกับสิ่งแวดล้อม ได้พบปะผู้คน ยิ่งเป็นผู้คนที่ชอบออกกำลังกาย ซึ่งคนเหล่านี้อารมณ์แจ่มใสอยู่แล้ว รอยยิ้ม คำพูด เสียงหรือสิ่งต่างๆ รอบตัวล้วนเสริมอารมณ์ให้แจ่มใสได้ง่ายขึ้น ทักษะการคิดในทางบวก การทำอะไรในทางบวกที่จะจัดความเครียด ความเศร้า เป็นประสบการณ์ด้านบวก เป็นการเรียนรู้ว่าวิธีจัดการกับอาการเหล่านั้นทำได้ และสำเร็จด้วย เพราะแทนที่จะนั่งรอให้ความเครียดความเศร้ามันหายไปเอง การได้ช่วยตัวเองด้วยการออกกำลังกายจึงทักษะหรือประสบการณ์ในด้านบวกให้เพิ่มมากขึ้นนั่นเอง แน่นอนที่สุดการลุกขึ้นมาออกกำลังกายสำหรับคนที่ไม่เคยทำ ไม่ใช่เรื่องง่าย เป็น ความฝืดที่ยิ่งใหญ่แบบหนึ่ง แต่สามารถลดความฝืดเหล่านั้นลงได้ โดยหาวิธีออกกำลังกายแบบที่เราสนุก ไม่ว่าจะเป็นชนิดของการออกกำลังกาย เวลาที่สะดวก สถานที่รู้สึกดีๆ กับคนที่ชอบ ฯลฯ จะช่วยให้การออกกำลังกายสนุกขึ้นได้ ตั้งเป้าแบบในการออกกำลังกาย ก็ไม่ควรตั้งไว้สูงเกินไป ควรค่อยๆ เริ่ม ค่อยๆ ทำ อาจแค่วันละ 5 นาทีแล้วเพิ่มขึ้นภายหลังก็ได้ จะได้สำเร็จได้ง่ายขึ้น การออกกำลังกาย ถือเป็นยาชนิดหนึ่งที่จะช่วยรักษาหลายโรค อีกทั้งยังลดความเฉื่อย เพิ่มความเชื่อมั่นและเสริมการมองโลกในแง่บวกได้อย่างดีเยี่ยมอีกด้วย ฉะนั้นอย่ารอช้า...มาออกกำลังกายกันเสียแต่วันนี้ดีกว่า |
http://atcloud.com/stories/65021
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)